Page 32 - InsuranceJournal105
P. 32
ฎีกาย่อ
ฎี กาย่อ
และย่อคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ
คำพิพากษาฎีกาที่ 4222/2542 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง
โจทก์ นาย ส. ว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจาก
จำเลย บริษัท พ. จำกัด กับพวก รถนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวน เห็นว่า คดีนี้โจทก์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งจำเลย
ที่ 2 ผู้เอาประกันทำไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าได้รับ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 3 ได้ ประกันวินาศภัยจริง แต่กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองผู้
ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วย บาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกซึ่งศาลล่างทั้งสอง
ความประมาทเลนเลอ โดยขบรถดวยความเรวสูงแลนฝาสญญาณ วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้
ั
้
ั
่
็
ิ
่
่
จราจรไฟสีแดงบริเวณสี่แยกถนนรัชดาภิเษกตัดกับถนนพระราม ประสบภัยจากรถ ซึ่งมีปรากฏอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 พยาน
ที่ 4 เป็นเหตุให้ชนรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 6 ท - 5966 จำเลยเองก็เบิกความรับในข้อนี้จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง
กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์ขับมาได้รับความเสียหาย ทำให้โจทก์ ตามที่มีปรากฏอยู่ในสำนวนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลย
ได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกัน ที่ 1 รับผิดมานั้นชอบแล้ว
ชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2536 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำพิพากษาฎีกาที่ 5133/2542
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นลูกจ้างของ โจทก์ นาย ส.
จำเลยที่ 2 เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ขับรถ จำเลย บริษัท ร. จำกัด
แท็กซี่แล่นฝ่าสัญญาณจราจรไฟสีแดง ค่าเสียหายที่โจทก์เรียก แพ่ง การก่อให้เกิดสัญญาประกันภัย (มาตรา 361,
ร้องสูงเกินควร และตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำ 861, 867)
ไว้กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้คุ้มครองการบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคล
ภายนอก จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับประกันภัยหมู่รถยนต์ของโจทก์
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ รวม 3 คัน คือ รถยนต์อีซูซุ หมายเลขทะเบียน 81-0707
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ขอนแก่น ในวงเงิน 500,000 บาท รถยนต์อีซูซุหมายเลขทะเบียน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 80-9320 ขอนแก่น ในวงเงิน 400,000 บาท และรถพ่วงหมายเลข
จำนวน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับ ทะเบียน 82-0311 นครราชสีมา ในวงเงิน 250,000 บาท นับแต่
แต่วันที่ 16 ธันวาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ วันที่ 24 เมษายน 2535 ถึงวันที่ 24 เมษายน 2536 จำเลย
สำหรับจำเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดในต้นเงินเพียง 50,000 บาท ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้โจทก์เพียง 1 ฉบับ เฉพาะรถพ่วง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ หมายเลขทะเบียน 82-0311 นครราชสีมาเท่านั้น แต่จำเลยนำ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เบี้ยประกันภัยของรถยนต์อีก 2 คัน ไปคำนวณหักส่วนลดให้ 10
ี
้
ั
ิ
้
้
รวมกนชำระเงนจำนวน 80,000 บาท พรอมดอกเบยอตรารอยละ เปอร์เซ็นต์ ในกรณีประกันภัยหมู่ด้วย เมื่อวันที่ 24 เมษายน
ั
่
7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ 2535 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา รถยนต์หมายเลขทะเบียน
โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อม 81-0707 ขอนแก่น ของโจทก์ประสบอุบัติเหตุชนกับรถยนต์
ดอกเบี้ยตามอัตราและระยะเวลาดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็น หมายเลขทะเบียน 80-5421 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอาประกันภัย
ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไว้แก่ บริษัท ร. จำกัด ได้รับความเสียหาย บริษัทดังกล่าวได้รับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา ช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์เป็นเงิน 170,000 บาท
้
ี
ั
ี
้
ี
้
็
ี
ิ
ศาลฎกาวนจฉยวา คดนตองหามฎกาในปญหาขอเทจจรง และเฉี่ยวกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 ฉ-8692 กรุงเทพ-
ั
่
ิ
้
ิ
์
ี
่
เพราะทนทรพยทพพาทในชนฎกาไมเกนสองแสนบาทตามประมวล มหานคร แล้วพลิกคว่ำลงโดยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ว-0142
ุ
ั
ี
่
ิ
ิ
้
ั
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 คงมีปัญหาข้อ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอาประกันภัยไว้แก่ บริษัท ท. จำกัด ได้รับ
กฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าศาลล่าง ความเสียหาย บริษัทดังกล่าวได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่า
ทั้งสองฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากถ้อยคำที่ปรากฏในสำนวน เสียหายจากโจทก์เป็นเงิน 245,000 บาท ส่วนรถยนต์หมายเลข
32 วารสารประกันภัย
ตุลาคม - ธันวาคม 2552