Page 32 - InsuranceJournal133
P. 32
มุมนักคณิตศาสตร์ประกันภัย
ใครว่า ยอดขายหรือเบี้ยประกันภัย – คอมมิชชั่นหรือค่าบ�าเหน็จให้กับ
ฝ่ายขาย – ค่าใช้จ่ายในการด�าเนินงานของบริษัท – ค่าสินไหม
ี
ี
ี
ทดแทนท่จ่ายให้กับผู้รับประกันภัย = ส่วนท่เหลือท่เป็นรายได้
ของบริษัท
บริษัทประกัน สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ “ธุรกิจประกันภัยนั้น ได้รับเงิน
ึ
เป็นเสือนอนกิน มาก่อน แล้วจึงค่อยมีต้นทุนของสินค้าตามออกมาทีหลัง” ซ่งก็คงต้อง ็
เดากันล่ะว่าต้นทุนของสินค้าในแต่ละตัวน้นจะเป็นเท่าไร ถ้าเดาถูกก
ั
ดีไป แต่ถ้าเดาไม่ถูกแล้วล่ะก็บริษัทก็ขาดทุนไป แล้วถ้าลองมาคิดดูดี ๆ
แล้วล่ะก็ ต้นทุนสินค้าของบริษัทประกันภัยนั้นจะขึ้นกับปัจจัยหลาย ๆ
อย่าง ยกตัวอย่างท่เห็นได้ชัดสาหรับการประกันชีวิต เช่น อาย เพศ
ี
ุ
�
ื
�
โดย พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี) อาชีพการงาน งานอดิเรก สุขภาพ โรคประจาตัว และอ่น ๆ อีกมากมาย
นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย ท่ทาให้ต้นทุนสินค้าหรือการเคลมของกลุ่มคนแต่ละกลุ่มน้นมีค่าต่างกัน
ี
ั
�
ั
ส่วนตวอย่างของการประกนวนาศภัยก็ได้แก่ การประกนตวรถยนต์ท ี ่
ิ
ั
ั
ั
ั
หลายคนในที่นี้คงเคยได้ยินค�าว่าเสือนอนกินกันอยู่บ้าง และ ต้องพิจารณาต้งแต่อายุการใช้งาน ย่ห้อ ประเภท หรือความแรงของ
ี
ก็มีไม่น้อยท่คิดว่าบริษัทประกันภัยน้นขายแค่กระดาษและก็คอยเป็น เครื่องยนต์ เป็นต้น
ั
ี
เสือนอนกิน เพราะเก็บเบ้ยประกันภัยเข้ามาก่อน แต่เวลาจ่ายเคลม
ี
ี
ั
น้นดูเหมือนจะเข้มงวดกันเสียเหลือเกิน อย่างน้บริษัทประกันภัยคงต้อง
มีก�าไรมหาศาลเลยแน่ ๆ ดังน้น ส่งท่ขาดไปไม่ได้สาหรับบริษัทประกันภัยในเวลาท่ต้อง
ี
�
ี
ั
ิ
จะเป็นจริงหรือไม่นั้น เราค่อย ๆ มาดูกันดีกว่าครับ ว่าที่มาที่ กาหนดราคาสินค้าเลยก็คือ การแบ่งกล่มประเภทของผ้เอา
ู
ุ
�
ไปของก�าไรที่ว่านั้นมันมาอย่างไร ประกันภัยตามความเส่ยง ถ้าเส่ยงมาก ก็ควรจะเก็บเบ้ยประกันภัย
ี
ี
ี
ี
ื
ิ
ก่อนอ่นก็คงต้องเร่มจากเบ้ยประกันภัยท่รับเข้ามาก่อน เพราะ มาก ถ้าเสี่ยงน้อย ก็ควรจะเก็บเบี้ยน้อย
ี
ี
น่ถือว่าเป็นรายรับของบริษัทอยู่แล้ว และเม่อได้รับเบ้ยประกันเข้ามา
ื
ี
ี
�
แล้ว บริษัทก็จะนาเงินก้อนน้มาลงทุนให้เกิดดอกออกผล เพราะคงจะ
ี
ั
้
่
ี
้
ี
็
�
ึ
ี
่
ั
้
ไม่มีใครท่เอาเงินมาแล้วเก็บใส่ไว้ในตุ่มเฉย ๆ แต่การลงทุนของบริษัท แตแลวกมคนถามคาถามเกยวกบการซอประกนชวตขนมาอก
ิ
ี
ื
ั
ี
ประกันภัยน้นจะต้องลงทุนแบบมีเหตุมีผล แบบว่าไม่เส่ยงจนเกินไปและ ว่า ถ้าเก็บเบ้ยประกันภัยเฉล่ยให้เท่ากันให้หมดไปเลย (คนจะเส่ยงมาก
ี
ี
ี
้
ี
้
ั
่
่
ี
้
ก็ไม่น้อยจนเกินไป โดยบริษัทจะต้องเจียมเนื้อเจียมตัว และพึงสังวรณ์ หรอเสยงนอยกเกบเบยในราคาเทากน) จะไมดกวาเหรอ จะไดไมตอง
่
่
ื
็
่
ี
้
็
ั
�
อยู่เสมอว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ท่นามาลงทุนอยู่น้น คือเงินของผู้เอา มานั่งเสียเวลาในการตรวจสุขภาพ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็คงจะไม่ได้
ี
ประกันภัยท่หวังจะได้รับความคุ้มครองจากการสูญเสียทางการเงิน หรอกครับ เพราะไม่อย่างน้นแล้ว คนท่เส่ยงน้อยก็จะย่งเสียเปรียบ กลาย
ิ
ี
ี
ั
ี
(financial loss) บางอย่างขึ้นในอนาคต เป็นว่าพวกเขาเหล่าน้นจะไม่มาทาประกันภัย แล้วก็จะเหลือแต่คนท่ม ี
ี
�
ั
ี
แน่นอนว่าในสนค้าใด ๆ กตาม เมอมการขายเกดขนแล้ว ความเสี่ยงมากมาซื้อประกันเท่านั้น ท�าให้ต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ นั้น
็
่
ิ
ึ
ิ
ื
้
ึ
ี
�
ี
�
ั
บริษัทต้องจ่ายค่าคอมมิชช่นหรือค่าบาเหน็จให้กับฝ่ายขายท่ไม่ว่าจะ เกิดข้นสูงกว่าต้นทุนท่ควรจะเป็น จนทาให้บริษัทประกันภัยขาดทุนและ
ึ
เป็นตัวแทนหรือโบรกเกอร์ต่าง ๆ ซ่งก็ต้องไม่ลืมว่าบริษัทประกันภัย อาจจะต้องขอปรับราคาเบี้ยประกันภัยตามมา
ี
่
จะต้องหักค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานของบริษัทออกไปอีกด้วย ส่วนท เห็นไหมครับว่าก่อนท่บริษัทประกันภัยจะทาอะไรน้น จะต้อง
ี
ั
�
�
เหลือหลังจากน้นก็ต้องมาดูกันว่า เคลมหรือค่าสินไหมทดแทนท่จ่ายให้ มีการคิดไว้ล่วงหน้าเสมอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ก�าไรเสมอไปเหมือนกัน แค่
ั
ี
กับผู้รับประกันภัยนั้นมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งพอถึงตรงนี้แล้วก็คงจะต้อง ได้กาไรพอประมาณท่คุ้มค่ากับความเส่ยงท่บริษัทต้องรับผิดชอบไว้ก ็
ี
ี
ี
�
ั
อาศัยสถิติและข้อมูลล้วน ๆ ในการประเมินความเส่ยงล่วงหน้าตามหลักการ พอแล้ว ถ้าไม่เช่อก็สามารถถามนักคณิตศาสตร์ประกนภยหรอแอคชวร ี
ื
ี
ั
ั
ื
ของคณิตศาสตร์ประกันภัย กันดูได้ครับ
32 วารสารประกันภัย ฉบับที่ 133