Page 54 - InsuranceHandbook
P. 54
บทที่ 3 การประกันภัย 35
ู
้
้
ั
ั
ั
่
ิ
เอาประกันภัยตามชนิดและจำนวนที่กำหนดไว้ ซึ่งทำให้ผู้เอาประกนภัยจ่ายเบี้ยประกันภัยน้อยลง และช่วยบรรเทา ดังนั้น ในการประกนภัยผรับประกนภัยตองมีสถิตมากพอสมควร จึงจะคำนวณ หรือคาดคะเนได้แมนยำ
ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นให้น้อยลงด้วย มากขึ้น เช่น ในการโยนเหรียญ ผลลัพธ์นั้นเป็นไปได้ 2 ทาง คือ ออกหัวหรือออกก้อย ซึ่งมีโอกาสออกได้เท่า ๆ กัน
ื
ี
8. เป็นตลาดจ้างงาน การประกันภัยมความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าธุรกจอน ๆ ในบางประเทศ เช่น หรือกล่าวอกอย่างหนึ่งได้ว่า ความน่าจะเป็นของการออกหัวเท่ากับ 0.5 และความน่าจะเป็นของการออกก้อยก ็
่
ี
ิ
้
อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ธุรกิจประกันภัยมีขนาดพอ ๆ หรือใหญ่กว่าธนาคารพาณิชย์ ทำให้เกิดการจ้างงาน เท่ากบ 0.5 การโยนเหรียญเพยง 2 ครั้ง อาจเป็นไปได้ว่าเหรียญจะไม่ออกหัวแต่จะออกกอยทั้งสองครั้ง หรือออกหัว
ั
ี
บุคลากรที่เกี่ยวข้องกบธุรกิจประกันภัยเป็นจำนวนมากด้วย ทั้งสองครั้ง แต่ถ้าเราโยนเหรียญ 10 ครั้ง โอกาสที่เหรียญจะออกใกล้เคียงกับค่าความน่าจะเป็นที่ 0.5 คือ ออกหัว
ั
และก้อยอย่างละ 5 ครั้ง ย่อมมีมากขึ้น ถ้าเราโยนเหรียญ 10,000 ครั้ง โอกาสที่จะออกหัว หรือก้อยเท่ากับ หรือ
12. ทฤษฎีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ใกล้เคียงกับค่า 0.5 ย่อมมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนครั้งที่โยนมากขึ้น
ี
ิ
สมมุติว่า ในการรับประกันอคคีภัย ถ้ามีบ้านอยู่ 10,000 หลัง โดยมจำนวนเงนเอาประกันภัยหลังละ
ั
่
ทฤษฎีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยซงมีความสำคัญต่อผู้รับประกันภัยในการพิจารณารับประกันภัย 100,000 บาท จากการเก็บสถิติความเสียหายจากไฟไหม้เป็นระยะเวลานานหลายปีจนทราบว่า โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละ
ึ
ี
และการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยเป็นอย่างมาก มอยู่ 3 ทฤษฎีด้วยกัน คือ ปีจะเกิดเพลิงไหม้ 60 ครั้งจากบ้าน 10,000 หลังนี้ ฉะนั้น โอกาสที่บ้านแต่ละหลังจะเกิดไฟไหม้ในแต่ละปีจะเท่ากับ
12.1 ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probability Theory) 60 หารด้วย 10,000 หรือ 0.006 แต่เนื่องจากการเกิดเพลิงไหม้แต่ละครั้งย่อมทำความเสียหายในขอบเขตไมเท่ากัน
่
12.2 กฎของการถัวเฉลี่ย (Law of Averages) การเก็บสถิติความเสียหายจึงต้องคิดเป็นจำนวนเงินพร้อมทั้งหามูลค่าของบ้านทั้ง 10,000 หลังนี้ด้วย จึงจะสามารถ
12.3 กฎว่าด้วยจำนวนมาก (Law of Large Numbers)
หาค่าทางคณิตศาสตร์ที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ถ้าหากความเสียหายตามสถิติที่เก็บเฉลี่ย 60 ครั้ง/ปี โดยมีค่าเสียหายเฉลี่ย
60,000 บาท/ครั้ง คิดเป็นค่าเสียหายปีละ 3.6 ล้านบาท ดังนั้น ผู้รับประกันภัยก็จะสามารถคำนวณความน่าจะเป็น
12.1 ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probability Theory) ที่จะเกิดความเสียหายกับบ้านแต่ละหลังอย่างถูกต้องตรงตามหลักสถิติ คือ 3.6 ล้านบาทต่อ 1,000 ล้านบาท
ในทางคณิตศาสตร์ ความน่าจะเป็นจะมีตัวเลขอยู่ระหว่างศูนย์ (0) กบหนึ่ง (1) เพื่อกำหนดให้กับเหตุการณ ์ (ได้จากบ้าน 10,000 หลัง x มลค่าหลังละ 100,000 บาท) หรือเท่ากับ 0.0036
ั
ู
็
ใดเหตุการณ์หนึ่ง ความน่าจะเป็นที่เท่ากับ 0 กคือไม่มีโอกาสที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แต่ถ้าความน่าจะเป็นเท่ากับ ตามกฎว่าด้วยจำนวนมากนั้น การที่ผลลัพธ์จะออกมาอย่างแม่นยำ ใกล้เคียงกับค่า 0.0036 ที่คาดคะเนไว้
1 แสดงว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นั้น จะต้องมีบ้านที่เอาประกันอคคีภัยอย่างน้อย 10,000 หลัง แต่ถ้าจำนวนบ้านที่เอาประกันอัคคภัยเพมขึ้นเป็น
ิ่
ี
ั
ในทางปฏิบัติ ผู้รับประกันภัยจะนำทฤษฎีความน่าจะเป็นมาใช้ในการกำหนดเบี้ยประกันภัยโดยประมาณ 100,000 หลัง โอกาสที่ความเสียหายจริงจะใกล้เคียงกับความเปนไปไดตามคา 0.0036 ก็แม่นยำมากขึ้น ในทาง
่
้
็
ี
ั
ิ
การความเสียหายทั้งหมดต่อปี จำนวนครงของการเกดความเสียหายจากภัยต่อปี และจำนวนเงินความเสยหายต่อ กลับกัน ถ้าเราลดจำนวนบานที่เอาประกันอคคีภัยลงเหลือ 1,000 หลัง โอกาสที่ความเสียหายจริงจะคลาดเคลื่อน
้
้
ั
่
เหตุการณ ซงผลลัพธ์จากการประมาณการดังกล่าวถือเป็นการประมาณความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อผู้รับประกันภัย จากค่า 0.0036 กจะมีได้มากเหมือนกับกรณีการโยนเหรียญเพยงไม่กี่ครั้ง ซงโอกาสที่จะออกหัว และออกก้อยอย่าง
์
ึ
่
็
ี
ึ
่
ค่าของความนาจะเปนจะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 เสมอ ตวอยาง สมมุติว่ามีรถยนต์ที่เอาประกันภัยอยู่ 1,000 ละเท่า ๆ กัน จะขึ้นกับจำนวนครั้งที่โยน ผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดคะเน หรือคำนวณ
ั
็
่
ี
ี
คัน และคาดว่ามรถยนต์ 8 คันเสียหายโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น ค่าความน่าจะเป็นของการเสยหายโดยสิ้นเชิงของ ไว้เสมอไป ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากปัจจัยบางประการทคาดไมถึง เช่น ข้อมลทใช้ในการคำนวณคลาดเคลื่อนหรือไม่
่
่
ี
ู
ี
่
รถยนต์ที่เอาประกันภัยนี้เท่ากบ 0.008 หรือ 0.8% เมื่อเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย ถ้าค่า ครบถ้วน เป็นต้น
ั
ความน่าจะเป็นสูงเท่าใด อัตราเบี้ยประกันภัยจะต้องเพียงพอสำหรับค่าความน่าจะเป็นของการเสียหายนั้น
13. การกำหนดเบี้ยประกันภัย
12.2 กฎของการถัวเฉลี่ย (Law of Averages)
ในการกำหนดเบี้ยประกันภัยที่จะเรียกเก็บจากผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัยต้องคำนึงถึงหลักการพื้นฐาน
กฎของการถัวเฉลี่ยเป็นการเฉลี่ยความเสี่ยงภัยร่วมกัน ดังนั้น กฎของการถัวเฉลี่ยจึงเป็นหลักสำคัญของ
ต่อไปนี้
การประกันภัย ถ้ามีภัยเกิดขึ้นและมีความสูญเสียจำนวนเท่าใดให้เฉลี่ยกันไประหว่างผู้เอาประกนภัย ซึ่งค่าความ 1. มความพอเพยง (Adequate) เพื่อที่จะสามารถนำมาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และ
ั
ี
ี
สูญเสียที่เฉลี่ยนี้แสดงออกในรูปของเบี้ยประกันภัย เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยมีผลกำไรพอสมควร
ี
ั
ู
้
็
หากมีผู้เอาประกันภัยจำนวนน้อยราย การประกันภัยกจะดำเนินไปไดยาก ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยต่อรายม ี 2. มีความยุติธรรม (Equitable) หมายความว่า ผ้เอาประกนภัยต้องเสียเบ้ยประกันภัยตามความเสี่ยงของ
ี
ี
จำนวนเงินสูง แต่หากมีผู้เอาประกันภัยเป็นจำนวนมากราย จะส่งผลให้เบี้ยประกันภัยต่อรายมจำนวนเงินที่ต่ำลง ตน ผู้ที่มีความเสี่ยงมากย่อมต้องเสียเบี้ยประกันภัยมากกว่าผู้ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า หรือเรียกอกอย่างหนึ่งว่า
Fairly Discriminatory
ุ
3. มีความสมเหตสมผล (Reasonable) ผู้รับประกันภัยไม่ควรแสวงหากำไรจากการกำหนดอัตรา
12.3 กฎว่าด้วยจำนวนมาก (Law of Large Numbers) เบี้ยประกันภัยมากจนเกินไปเมื่อเทียบกับสภาพความเสี่ยง (Not Excessive) และจำเป็นต้องคำนึงถึงความสามารถ
้
กฎว่าด้วยจำนวนมากหรือกฎว่าด้วยความเป็นไปได้เป็นพืนฐานของการประกันภัย กล่าวคือ ถ้าจำนวนวัตถุ ในการขายดวยว่า ถ้าอัตราเบี้ยประกันภัยสูงเกินไปจะมผู้มาเอาประกันภัยกับบริษัทหรือไม่โดยเฉพาะในสภาวะการ
ี
้
หรือเหตุที่เอาประกนภัยไว้มจำนวนมากเท่าใด ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจะใกล้เคียงกับ แข่งขันที่รุนแรง
ั
ี
้
ี
์
เหตุการณ์ที่เกิดจริงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นประโยชนในการกำหนดอัตราเบยประกนภัยแต่ละประเภทของ
ั
ั
ผู้รับประกนภัย
ิ
์
้
ั
ิ
ิ
ลขสทธของสมาคมประกนวนาศภยไทย หามนาไปใช้ในการแสวงหากําไรทางการคา ้
ํ
ิ
ั