Page 62 - InsuranceHandbook
P. 62
บทที่ 4 สัญญาประกันภัย 43
9. ชื่อของผู้รับประโยชน์ ถ้าจะพึงมี เป็นสัญญาที่มีค่าตอบแทน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ในทางทรัพย์สิน แต่สำหรับสัญญาประกันภัยนั้นมี
ั
ิ
10. วันทำสัญญาประกันภัย ลกษณะพเศษกว่าสญญาที่มีค่าตอบแทนโดยทั่วไป คือ สัญญาที่มีค่าตอบแทนโดยทั่ว ๆ ไปมักจะมีค่าตอบแทนที่
ั
่
11. สถานที่ และวันที่ได้ทำกรมธรรม์ประกันภัย เสมอกัน หรือเท่าเทียมกัน เพราะคู่สัญญาแต่ละฝายตางพยายามรกษาผลประโยชน์ของตนไม่ให้เสียเปรียบ
่
ั
อกฝ่ายหนึ่ง เช่น ผู้ซื้อรถยนต์ก็ต้องเจรจาราคารถให้เหมาะสมกับราคาตลาด ผู้ขายรถยนต์กต้องระมัดระวังที่จะไม่
็
ี
้
แบบ และเนื้อหาของกรมธรรม์ประกันภัยทุกฉบับที่จำหน่ายในประเทศไทย จะตองได้รับการพิจารณา และ ขายรถต่ำกว่าราคาตลาดจนขาดทุน ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าสัญญาที่มีค่าตอบแทนโดยทั่ว ๆ ไปจะมีค่าตอบแทนที่เท่า
ั
ิ
ั
อนุมัติจากเลขาธิการสำนกงานคณะกรรมการกำกับและสงเสรมการประกอบธุรกจประกนภัย (คปภ.) ในฐานะ เทียมกัน หรือเสมอเหมือนใกล้เคียงกัน แต่ในสัญญาประกันภัยนั้น ผู้เอาประกันภัยชำระค่าเบี้ยประกันภัยเพยง
ิ
่
ี
นายทะเบียนประกันภัย เล็กน้อยเมื่อเทียบกบจำนวนเงนเอาประกนภัย แต่เมื่อเกิดวินาศภัยตามสัญญาขึ้นผู้รับประกันภัยตองชำระ
ิ
ั
ั
้
ั
ค่าสินไหมทดแทนตามสญญาประกนภัยตอบแทนผู้เอาประกันภัย ซึ่งมีค่าในทางทรัพย์สินสูงกว่าค่าเบี้ยประกนภัย
ั
ั
2. ลักษณะพิเศษทางกฎหมายของสัญญาประกันภัย (Special Legal Characteristics of มาก เช่น ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 1 ต้องชำระค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 30,000 บาทต่อปี
ั
ั
Insurance Contracts) ในขณะที่ผู้รับประกนภัยต้องคุ้มครองรถคันนั้นในกรณีประสบอุบัติเหตุ หรือถูกโจรกรรมในจำนวนเงินเอาประกนภัย
แม้ว่าสัญญาประกันภัยจะมีลักษณะโดยทั่ว ๆ ไปคล้ายสัญญาชนิดอื่นก็ตาม แต่เนื่องจากสัญญาประกันภัย สูงถึง 750,000 บาท เป็นต้น
ั
ิ
้
เป็นสัญญาในทางการคา (Commercial Contract) จึงมีลักษณะพเศษเฉพาะตัวอยู่หลายประการ คือ 2.5 เป็นสัญญาเพื่อการเสี่ยงภัย หรือเสี่ยงโชค สัญญาประกนภัยมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากสัญญาทั่วไป
่
่
ี
2.1 เป็นสัญญาที่ไมมแบบ สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โดยอาศัย ตรงที่การชำระหนี้ของฝ่ายผู้รับประกันภัยนั้นไมแน่นอน หรือเป็นการชำระหนี้ที่มีเงื่อนไขว่าจะเกิดวินาศภัยดังที่ระบุ
่
ื
ื
่
ี
คำเสนอ และคำสนองต้องตรงกันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักฐาน หรือเอกสารอนใดอก จึงอาจกล่าวได้ว่า ไว้ในสัญญาหรือไม่ เป็นเงอนไขในการเกิดหนี้ของฝ่ายผู้รับประกันภัย เงื่อนไขดังกล่าวนี้ คือ การเสี่ยงภัยว่าจะเกิด
เป็นสัญญาปากเปล่าที่สำเร็จลงได้โดยการตกลงกันด้วยวาจาเท่านั้น การที่ผู้รับประกันภัยต้องออก วินาศภัยนั้นขึ้นหรือไม่ ถ้าเกิดภัยขึ้นผู้รับประกันภัยก็ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าไม่เกิดภัยขึ้นผู้รับประกันภัยก็
่
ิ
ื่
ี
์
กรมธรรมประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัยนั้นเป็นเพยงการออกหลักฐานเป็นหนังสือเพอแสดงว่าได้มีการทำ ไม่ต้องจายค่าสนไหมทดแทน ซึ่งถือเป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่ง วัตถุประสงค์ของสัญญาประกันภัยก็คือการเข้า
สัญญาประกันภัย ซึ่งมีข้อความเช่นเดียวกับที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนั่นเอง ดังนั้น กรมธรรม์ประกันภัยจึง รับเสี่ยงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้เอาประกันภัย ฉะนั้น การที่จะมีสัญญาประกันภัยได้ต้องปรากฏว่าผู้เอาประกันภัย
ั
ิ
่
ไม่ใช่สัญญาประกันภัย แต่สัญญาประกันภัยเป็นที่มาของกรมธรรม์ประกันภัย อยู่ในภาวการณ์เสี่ยงภัยในทรัพย์สิน สิทธิ์ หรือประโยชน์ใด ๆ ที่ตนมีอยู่ หรือมีความรบผดตามกฎหมายอยางใด
้
้
่
ี
ั
ั
่
ี
ู
ั
ั
ี
2.2 เป็นสัญญาที่ต้องมหลักฐานเป็นหนังสือ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ สำหรับสญญาประกนภัยที่ อย่างหนึ่ง ผู้เอาประกันภัยจึงจะมีสิทธิ์นำการเสยงภัยน้นมาใหผรับประกนภัยรับเสยงภัยแทน หากในขณะทำ
ิ
็
เกิดขึ้นสมบูรณ์ตามกฎหมายด้วยวาจานั้น แม้จะเป็นสัญญาประกันภัยที่สมบูรณ์กันตามกฎหมายกตาม แต่เมื่อ สัญญาประกันภัยนั้นไม่มีการเสี่ยงภัยดังกล่าวเลย หรือภัยนั้นได้หมดไปแล้ว สัญญาประกันภัยก็เกดขึ้นไม่ได้
่
ิ
ิ
่
้
จะต้องฟองร้องบังคับคดีกันแล้ว กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือ 2.6 เป็นสัญญาเพื่อการชดใช้ค่าสนไหมทดแทน คาสนไหมทดแทนหมายถึงเงินที่ต้องชดใช้เพือทดแทน
ั
ลายมือชื่อของตัวแทนฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟองร้องบังคับคดีได้ คำว่าหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สิน หรือแก่บุคคลอนเนื่องมาจากการละเมิด หรือการผิดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินที่
้
ั
่
ั
ิ
่
ึ
หมายถงการจัดทำขอความ ใด ๆ ลงในเอกสารเพือให้เกิดความหมายว่าได้มีการทำสัญญาประกันภัยขึ้นไว้ ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย การทำสญญาประกนวินาศภัยนั้นทำขึ้นเพือจะชดใช้คาสนไหมทดแทนให้ในกรณีที่เกิด
้
่
่
้
ึ
หากผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายที่ทำขึ้นไว้ ผู้รับประกันภัยก็สามารถใช้หลักฐานเป็นหนังสือนั้นฟองร้องบังคับคดี เช่น วินาศภัยขนในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญา (ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 861) ฉะนั้น
้
ั
ั
เรียกร้องเบี้ยประกันภัยได้ แต่ถ้าหากฝ่ายผู้รับประกันภัยทำขึ้นไว้เป็นกรมธรรม์ประกนภัย ผู้เอาประกันภัยก็สามารถ ผู้รับประกนภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อเมื่อเกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน สิทธิ์ ประโยชน์ หรือเกิดความรับผิด
ใช้หลักฐานเป็นหนังสือนั้นฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยได้ ตามกฎหมายกับผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์แล้วแต่กรณี หากปรากฏว่าผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์
็
2.3 เป็นสัญญาต่างตอบแทน ในสัญญาประกันภัยนั้นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ และลูกหนี้ตอบ ไม่ได้รับความเสียหายจากวินาศภัยดังที่ระบุไว้ในสัญญาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยกไม่ต้องรับผิดชดใช้
ิ
ิ
่
แทนกัน ผู้เอาประกันภัยเป็นลูกหนี้ในค่าเบี้ยประกันภัยค้างชำระ แต่เป็นเจ้าหน้ในคาสนไหมทดแทนหากเกิด ค่าสนไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย ส่วนจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่จะชดใช้ให้นั้นต้องเป็นไปตาม
ี
้
ิ
วินาศภัยตามสัญญาขึ้น ส่วนผู้รับประกันภัยเป็นเจ้าหนี้ในค่าเบี้ยประกันภัยค้างรับ แต่เป็นลูกหนี้ใน ความเสียหายที่แทจริง ซึ่งจะต้องตีราคาแห่งความเสียหายที่เกดขึ้น ณ สถานที่ และในเวลาที่เกิดวินาศภัย (ประมวล
ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยนั้นหากมีวินาศภัยเกิดขึ้นตามสัญญา ฉะนั้น การที่ผู้เอาประกันภัย และ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 877)
่
ั
ผู้รับประกันภัยต่างฝ่ายต่างมหนี้ต่อกันเช่นนี้จึงเรียกว่าสัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งคู่สญญาฝาย 2.7 เป็นสัญญาที่อาศัยเหตุในอนาคตอนไมแน่นอน เนื่องจากสัญญาประกันภัยเป็นสัญญาเสี่ยงภัย หรือ
่
ั
ี
หนึ่งมีสิทธิไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้ของตน หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ (ประมวลกฎหมาย เสี่ยงโชคดังกล่าวมาแล้วข้างต้น การชำระหนี้ของฝ่ายผู้รับประกันภัยจำต้องอาศัยเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งใน
ี
ี
ั
็
่
ั
่
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369) เช่น ผู้รับประกันภัยอาจจะยังไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย จนกว่า อนาคตอนไมแน่นอนเปนปจจัยในการกำหนดหนี้ของผู้รับประกันภัย ซึ่งคล้ายกับเงื่อนไขในนิติกรรม วินาศภัยทจะ
้
ึ้
ผู้เอาประกันภัยจะชำระค่าเบี้ยประกันภัยที่ค้างชำระนั้นให้แก่ผู้รับประกันภัยได้ กำหนดไว้ในสัญญาประกันภัยนั้นต้องเป็นวินาศภัยที่อาจจะเกิดขนไดในอนาคต และมีสภาพที่ไม่แน่นอน อาจจะเกิด
2.4 เป็นสัญญาที่มค่าตอบแทนไม่เท่าเทียมกัน โดยปกติแล้วสัญญาต่างตอบแทนส่วนใหญ่จะเป็นสัญญาที่ ก็ได้ หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นวินาศภัยที่ต้องเกิดขึ้นเสมอไป เช่น บ้านที่ปลูกไว้บนเกาะแห่งหนึ่งเมื่อ
ี
ั
มีค่าตอบแทนด้วย หรือในทางกลับกัน สัญญาที่มีค่าตอบแทนมักจะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเสยเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ ถึงหน้ามรสุมแล้วต้องถูกพายุพดพังไปทุกปีเช่นนี้ ถือว่าภัยอันเกิดจากพายุนั้นเป็นภัยที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน แม้จะเป็น
ี
ื่
ึ้
็
ไม่เป็นเช่นนั้นทุกกรณี สัญญาที่มีค่าตอบแทนนั้นหมายถึงสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ในทาง เหตุการณ์ในอนาคตกตาม แต่เมื่อเหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขนอย่างแน่นอนแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นสัญญาเพอการเสี่ยงภัย
ั
ทรพย์สนเป็นการแลกเปลยนตอบแทนกน เช่น นาย ก. ขายรถยนตให้ นาย ข. นาย ก. ย่อมได้เงินค่าราคารถยนต์ ในทางกลับกัน แม้วินาศภัยนั้นจะมีสภาพไม่แน่นอน หากแต่ในวันที่เอาประกนภัย วินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่มี
ั
ั
ิ
ี
่
์
์
ั
์
์
เป็นประโยชนแก่ตน ส่วน นาย ข. ก็ได้รถยนตคันน้นไปใช้เป็นประโยชน์ในทางทรพยสิน ฉะนั้น สัญญาซื้อขายจึง สภาพเป็นเหตุการณ์ในอนาคตอีกต่อไป ก็ไม่สามารถมาเอาประกันภัยได้ เช่น เจ้าของรถไม่สามารถจะนำรถที่เกิด
ั
อบัติเหตุถูกเฉี่ยวชนได้รับความเสยหายอย่างหนกแล้วมาเอาประกันภัยรถยนตได้ หากเจ้าของรถนำรถคันนั้นมา
ั
์
ุ
ี
ิ
ิ
ํ
ลขสทธของสมาคมประกนวนาศภยไทย หามนาไปใช้ในการแสวงหากําไรทางการคา ้
ิ
ั
์
ิ
้
ั