Page 28 - InsuranceJournal146
P. 28
รอบรู้ประกันภัย
ี
่
ี
่
่
b. แตถาเปนการเปลียนแปลงทเกยวของกบบรการในอนาคตแลว สวนใหญจะนากลบไปสมทบ/หกออกจาก Contractual Service
็
้
่
�
่
ั
ั
่
ั
้
้
ิ
Margin (CSM) หรือในกรณีที่ขาดทุนจนกระทั่งหัก Contractual Service Margin (CSM) ออกไปหมดแล้วก็ยังไม่พอ ก็จะต้อง
น�าส่วนที่เหลือ (ที่ยังหักไม่หมด) ไปกระทบลงงบก�าไรขาดทุน เพราะนั่นหมายถึงว่าสัญญาประกันภัยเกิด Onerous ขึ้นมาแล้ว
และต้องบันทึกเป็นขาดทุนและรับรู้ในงบก�าไรขาดทุนในทันที
3. อัตราคิดลด (Discount rate) ในมาตรฐาน IFRS17 นี้ มีความตั้งใจที่จะให้แบ่งออกมาสะท้อนอัตราดอกเบี้ยที่ปราศจากความเสี่ยง
ี
ึ
ี
(Risk Free Rate) และอัตราดอกเบ้ยท่ชดเชยการขาดสภาพคล่องจากสัญญาประกันภัย (Illiquidity Premium) ซ่งวิธีการหาอัตราคิดลด
(Discount rate) นี้ สามารถใช้วิธี Top-Down Approach หรือ Bottom-Up Approach ได้
a. วิธี Top-Down Approach สามารถหาได้จากการน�าผลตอบแทนจากการลงทุนของพอร์ต (Portfolio Yield) มาหักออกด้วย
อัตราดอกเบี้ยส่วนที่ชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ซึ่งแปลว่า Discount rate = Portfolio Yield – Credit Risk
b. วิธี Bottom-Up Approach สามารถหาได้จากการน�าอัตราดอกเบี้ยที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk Free Rate) มาบวกกับอัตรา
ดอกเบี้ยที่ชดเชยการขาดสภาพคล่องจากสัญญาประกันภัย (Illiquidity Premium) ได้โดยตรง ซึ่งแปลว่า Discount rate =
Risk Free Rate + Liquidity Risk
PORTFOLIO YIELD = RISK FREE RATE + LIQUIDITY RISK + CREDIT RISK
อีกประเด็นหนึ่งที่มาตรฐาน IFRS17 ได้เล็งเห็นความส�าคัญและพัฒนาเพิ่มเติมมาจาก IFRS4 คือ เรื่องการพยายามท�าให้สัญญาประกันภัยที่
�
ึ
�
มีการประมาณการกระแสเงินสดเหมือนกันสามารถคานวณออกมามีมูลค่าเท่ากัน ซ่งภายใต้ IFRS4 ในปัจจุบันน้ทาไม่ได้ เพราะ IFRS4 ไปใช้อัตรา
ี
ผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทตัวเองมาใช้เป็นอัตราคิดลดด้วย ท�าให้เกิดความเหลื่อมล�้าทางการลงบัญชีขึ้น
ื
ี
มาตรฐาน IFRS17 น้ยังสามารถแบ่งกระแสเงินสดเพ่อภาระผูกพันของกรมธรรม์ (Fulfilment Cash Flows) ออกมาเป็น แบบท่แปรผัน
ี
ี
ต่อตัวแปรท่ได้รับผลกระทบจากความเส่ยงทางด้านการเงิน (Varying fulfilment cashflows) กับอีกแบบท่ไม่ได้แปรผันต่อตัวแปรท่ได้รับ
ี
ี
ี
ิ
ผลกระทบจากความเสยงทางด้านการเงน (Non-varying fulfilment cashflows) เช่น กระแสเงนสดทวไปอย่างการจ่ายทนประกนภยของ
ั
่
ุ
ั
ั
ี
่
ิ
ึ
ี
ี
ี
ื
ั
แบบประกันท่วไป หรือ การจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพ เป็นต้น ซ่งกระแสเงินสดเหล่าน้ไม่ได้มีค่าเปล่ยนไปเม่อความเส่ยงหรือตัวแปร
ทางด้านการเงินเปลี่ยนไป
โดยหลักการแล้ว Varying fulfilment cashflows และ Non-varying fulfilment cashflows จะใช้อัตราคิดลดคนละตัวกันได้ เพื่อ
ให้สะท้อนชนิดของกระแสเงินสดนั้น โดย Non-varying fulfilment cashflows นั้นจะใช้เพียงแค่อัตราดอกเบี้ยที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk
Free Rate) ส่วน Varying fulfilment cashflows จะใช้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเพราะรวมความเสี่ยงทางด้านการเงินเข้าไปด้วย
ทั้งน้ ถ้าไม่อยากใช้อัตราคิดลดท่แยกออกจากกันแบบน้ มาตรฐาน IFRS17 ก็ยอมให้ใช้กระแสเงินสดชุดเดียวและอัตราคิดลดแบบ
ี
ี
ี
risk-neutral ได้เช่นกัน
่
ื
เมอทราบข้นตอนในการหาอัตราคิดลด (Discount rate) แล้ว ทน้ก็ลองมาพิจารณาการนาผลลัพธ์ไปประยุกต์บ้าง โดยเราสามารถ
ั
�
ี
ี
พิจารณาผลตอบแทนจากดอกเบี้ยออกเป็น 2 ส่วนได้ ดังนี้
ี
a. ส่วนที่เป็นดอกเบ้ยท่ต้งเป้าว่าจะลงทุนได้เพ่อจ่ายภาระผูกพันของกรมธรรม์ (Insurance Finance Expense at locked in discount
ื
ั
ี
ึ
�
�
ี
rate) ซ่งเป็นตัวท่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะกาหนดไว้เสมอว่าเงินสารองกรมธรรม์จะมีการเติบโตข้นจากดอกเบี้ย (unwind)
ึ
เป็นเท่าไรต่อปี และโดยปกติแล้วค่าอัตราดอกเบ้ยน้จะถูกคานวณไว้ต้งแต่ตอนออกแบบประกันภัยไว้แต่แรกแล้ว บางคร้งในมาตรฐาน
ั
ั
�
ี
ี
IFRS4 เราเรียกมันว่า Valuation Interest rate หรือบางคนอาจจะเรียกมันว่า Target Profit Rate ก็ไม่ผิดนัก เพราะมันคือ
�
ี
�
ั
ี
อัตราดอกเบ้ยท่กาหนดเอาไว้ในตอนท่ออกแบบประกันภัยและต้งใจไว้ว่าแบบประกันนี้จะต้องลงทุนให้ได้จึงจะได้กาไรเท่ากับท ่ ี
ี
คาดหวังไว้ โดยดอกเบี้ยส่วนนี้ถือเป็นการด�าเนินงานอย่างหนึ่งของธุรกิจประกันภัยที่ต้องท�าให้เงินเติบโตตามที่คาดหมายไว้
28 วารสารประกันภัย ฉบับที่ 146