Page 72 - InsuranceHandbook
P. 72
บทที่ 5 หลักส�าคัญของสัญญาประกันภัย 53
้
ี
ั
2.2 สาระสำคัญที่ถือว่าไม่ปฏิบัติตามหลักความสุจริตอย่างยิ่ง ผลของการบอกลางสญญาที่เป็นโมฆยะ จะทำให้สัญญาประกันภัยนั้นตกเป็นโมฆียะตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่มีผล
สาระสำคัญที่ถือว่าไมปฏิบัติตามหลักความสุจริตอย่างยิ่งมี 3 ประการ คือ บังคับคู่สัญญาแต่ประการใด โดยคู่กรณีกลับคืนยงฐานะเดิม สำหรับการประกนวินาศภัย ผรับประกันภัยต้องคืน
ั
ั
ู
้
่
่
่
2.2.1 การไมเปิดเผยข้อความจริง (หรือ “การไมเปิดเผยความจริง”) (Non-Disclosure) เบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้ว และถ้าผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก ่
2.2.2 การแถลงข้อความเท็จ (Misrepresentation) ผู้เอาประกันภัยในกรณีที่เกิดวินาศภัยขึ้นตามสัญญาไปแล้ว ผู้เอาประกันภัยจะต้องคืนค่าสินไหมทดแทนให้
2.2.3 การไม่ปฏิบัติตามคำรับรอง (Non-Compliance to Warranties) ผู้รับประกันภัย สำหรับการประกันชีวิต ถ้ามีการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่ตกเป็นโมฆียะ ผู้รับประกันภัยต้องคืน
์
ั
่
่
คาไถถอนกรมธรรมประกนชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือทายาทของผู้นั้น ซึ่งในทางปฏิบัติ บริษัทประกันชีวิตก็จะ
2.2.1 การไม่เปิดเผยขอความจริง (Non-Disclosure) คืนเบี้ยประกันภัยที่ได้รับชำระมาทั้งหมดให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือทายาท
้
้
ั
เป็นหลักการส่วนหนึ่งของหลักความสุจริตอย่างยิ่งในการประกนภัยที่คู่สัญญาจะต้องเปิดเผยความจริงแก่ หน้าที่ของการเปิดเผยข้อความจริงนี้จะประยุกต์ใช้กับผู้รับประกันภัยด้วย กล่าวคือ ผู้รับประกันภัยจะตอง
่
ึ
ี
่
กัน ซงหมายถงการเปิดเผยข้อความจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของผู้เอาประกันภัย ทั้งที่เป็นข้อรู้เห็นโดยแท้ (Actual ไมทำให้ผู้เอาประกันภัยเข้าใจผิดคดว่า ประเภทของสญญาประกนภัยทเขาได้ยื่นขอเอาประกันภัยนั้นเป็นสัญญา
ึ
ิ
่
ั
ั
ี
ุ
ั
Knowledge) และข้อที่น่าจะรู้เห็น (Presumed Knowledge) โดยเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยจะต้องเปิดเผย ประกนภัยอกประเภทหนึ่ง เช่น ในความเป็นจริงเป็นสัญญาประกันภัยอบัติเหตุส่วนบุคคลซึ่งคุ้มครอง
ั
ั
้
ั
ี
ี
ั
ั
ข้อความจริงอนเป็นสาระสำคัญ (Material Facts) ต่อผู้รับประกนภัยในการกำหนดเบ้ยประกนภัย หรือใน ผู้เอาประกันภัยกรณีที่เสยชีวิตจากการประสบอุบติเหตุ แต่ผู้รับประกนภัยอาจใช้ข้อความในหนังสือชี้ชวนซึ่งทำให
้
็
ั
การตัดสินใจว่าจะรับประกนภัยนั้นหรือไม่เท่าที่วิญญูชนทั่วไปคิดว่าควรต้องเปิดเผย โดยเตมใจ ครบถวน และ ผู้เอาประกันภัยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี เป็นต้น
ถูกต้อง แม้ว่าจะไม่ได้รับการร้องขอจากผู้รับประกันภัยก็ตาม การที่ผู้เอาประกันภัยไม่เปิดเผยข้อความจริงโดยคิดไป ประเด็นสำคัญต่อหลักความสุจริตอย่างยิ่งจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเปิดเผยต่อ
่
ี
ว่าเป็นข้อความจริงที่ไม่เป็นสาระสำคัญนั้น ตามหลักข้อนี้ไม่ถือเอาความคิดเห็นของผู้เอาประกันภัยคนหนึ่งคนใดมา ผู้รับประกนภัย ในทางปฏิบัตผู้เอาประกันภัยเป็นผที่ทราบข้อมูลของตนแตเพียงฝายเดยว ดังนั้น สัญญาประกนภัย
ิ
้
ู
่
ั
ั
ั
เป็นข้อวินิจฉัย แต่จะต้องเอาความคิดเห็นของผู้เอาประกันภัยทั่ว ๆ ไปมาเป็นข้อวินิจฉัยว่าขอความจริงนั้นเป็น จึงระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้เอาประกนภัยมีหน้าที่ในการเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยทราบ เพือให้
้
่
ิ
ั
ี
ข้อสาระสำคัญอนควรเปิดเผยหรือไม่ การไม่เปิดเผยข้อความจริง (Non-Disclosure) น้ในบางกรณีเรียกว่าเป็น ผู้รับประกันภัยสามารถพจารณาว่าจะรับประกนภัยตามความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยได้หรือไม และหากตกลง
ั
่
ี
ั
การปกปิดข้อความจริง (Concealment) แต่ในการตีความนั้น กรณีจะถือว่าเป็นการปกปิดข้อความจริงก็ต่อเมื่อ รับประกันภัยแล้วจะกำหนดอตราเบ้ยประกนภัยเป็นจำนวนเทาใดและกำหนดเงื่อนไขอย่างไร ดังนั้น ข้อมูลที่
ั
่
ผู้เอาประกันภัยมีเจตนาจะปกปิดข้อความจริงนั้นไว้ไม่ให้ผู้รับประกันภัยทราบ แต่การไม่เปิดเผยข้อความจริง ผู้เอาประกนภัยเปิดเผยในการขอเอาประกันภัยจะตองเป็นข้อมูลอนเป็นสาระสำคัญของสัญญาเท่านั้นหาใช่ข้อมูล
้
ั
ั
้
ั
่
ั
(Non-Disclosure) นั้นแม้ไมจงใจปกปิด แต่การที่ผู้เอาประกันภัยไม่ได้เปิดเผยขอความจริงตามหน้าที่ของตนซึ่ง โดยปกติทั่วไป ข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญนี้โดยปกติจะเป็นข้อมูลที่ผู้รบประกนภัยขอให้ผู้เอาประกันภัยแถลงใน
อาจจะเปนการประมาทเลนเล่อบกพรองในหน้าที่ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ถือว่าเป็นการไม่เปิดเผยข้อความจริง ใบคำขอเอาประกนภัย เช่น ประวัติสุขภาพของผู้ขอเอาประกันภัยว่าเคยป่วยดวยโรคอะไรบ้างในระยะเวลา 5 ปีที่
่
็
ั
ิ
้
(Non-Disclosure) ซึ่งมีผลทำให้สัญญาประกันภัยเป็นโมฆียะได้เช่นเดียวกับการปกปิดข้อความจริง ผ่านมา ประวัติความเสียหายที่ผ่านมาไม่ว่าจะได้มีการเอาประกันภัยหรือไม่ ประวัติการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
(Concealment) ที่ผ่านมา การถูกปฏิเสธการรับประกันภัยที่ผ่านมา เป็นต้น
ข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญซึ่งผู้เอาประกนภัยมีหน้าที่จะต้องเปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบนั้น มกจะ
ั
ั
เป็นสิ่งซึ่งมีการเสี่ยงภัยมากกว่าปกติ และเกี่ยวเนื่องกับภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) ซึ่งผู้รับประกันภัยที่ ข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญซึ่งผู้เอาประกันภัยไม่จำเป็นต้องเปิดเผย
ั
ิ
ั
ิ
รอบคอบ (Prudent Insurer) จะให้ความสนใจเป็นพเศษในการพิจารณาว่าจะรับประกันภัยนั้นหรือไม และถ้าหาก การเปิดเผยข้อความจรงอันเป็นสาระสำคัญเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกนภัย แต่มีข้อความจริงอนเป็น
่
รับประกนภัยได้ จะรบในอตราเบยประกนภัยปกติ หรือจะตองคิดอตราเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้น หรือจะต้องกำหนด สาระสำคัญที่ผู้เอาประกันภัยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อผู้รับประกนภัย ทั้งนี้เพราะผู้รับประกันภัยควรจะทราบหรือ
ั
้
ั
ั
ี
้
ั
ั
ั
ั
ิ
เงื่อนไขพเศษในการรบประกนภัยน้น เป็นต้น เช่น การที่ นาย ก. นำรถของตนที่เพงเสียหายจากการเกิดอบัติเหตุ สามารถหาข้อมูลเหล่านั้นได้เอง เช่น
ุ
ิ่
ั
ั
ิ
เฉี่ยวชนมาขอเอาประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยไม่ได้แจ้งให้บริษัททราบว่ารถของ (1) ข้อความจรงของกฎหมาย (Facts of Law) ได้แก่ กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับและประกาศของ
ุ
ตนเพงไปเกิดอบัติเหตุมาและมีส่วนใดของรถที่เสียหายบ้าง นอกจากนั้น นาย ก. ยังมีเจตนาที่จะทจริตต่อบริษัทโดย กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ซึ่งได้มีการประกาศหรือพิมพ์เผยแพร่ลงในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้เพราะเป็นเรื่องที่ถือ
ุ
ิ่
ุ
การมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากอบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นกับรถคันนี้ก่อนวันที่บริษัทตกลงรับ ว่าทุกคนต้องทราบ ดังนั้น สิ่งที่ผู้ขอเอาประกันภัยต้องปฏิบัติตามกฎหมายจึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเป็นการเฉพาะ
ั
ประกนภัยดวย ในกรณเช่นนี้ ถือว่า นาย ก. ไม่เปิดเผยข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญให้บริษัททราบ ซึ่งถ้าหาก ถึงแม้จะเป็นสาระสำคัญก็ตาม
้
ี
บริษัททราบข้อความจริงนี้ก่อนก็จะปฏิเสธการรับประกนภัยรถยนต์คันนี้อย่างแน่นอน ผู้รับประกันภัยจึงสามารถจะ (2) ข้อความจริงที่คนทั่วไปรู้อยู่แล้ว (Facts of Public Knowledge) เป็นข้อมูลที่ผู้รับประกนภัยทราบอยู่
ั
ั
ใช้สิทธิ์บอกล้างสัญญาประกันภัยนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 แล้ว เช่น เรื่องของความรู้สามัญทั่ว ๆ ไป (Common Knowledge) ซึ่งผู้รับประกันภัยสามารถสอบถามหรือสืบค้น
่
ั
ึ
์
ั
ตัวอย่าง เงื่อนไขทั่วไปในกรมธรรม์ประกันอคคีภัย ข้อ 2. การตกเป็นโมฆียะของกรมธรรมประกนภัย “ถ้า จากที่ใด ๆ ได้ เช่น กระบวนการผลตทางอุตสาหกรรมซงเป็นมาตรฐานสำหรบการค้า สถานที่ตั้งของเมืองที่ผู้เอา
ั
ิ
ได้มีการบรรยายคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญแห่งทรัพย์สินที่เอาประกันภัย หรือในสาระสำคัญแห่งสิ่งปลูกสร้าง หรือ ประกันภัยกำลังจะส่งสินค้าไปขาย หรือเรื่องที่โดยเหตุผลควรจะทราบ เช่น การมีภาวะสงครามในประเทศหรอ
ื
สถานที่ตั้งของทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว หรือในข้อความอนเป็นสาระสำคญอนจำเป็นต้องรู้เพอการ ภูมิภาคใด การมีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น พายุไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วมใหญ่ในบางประเทศในช่วงเวลา
ั
ั
ั
ื่
ี
่
ประเมินความเสี่ยงภัย หรือเพือการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย หรือมการละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงดังกล่าวนั้น หนึ่ง
ั
ี
้
ั
์
ี
ิ
ให้ถือว่าสัญญาประกนภัยตามกรมธรมประกนภัยฉบับนตกเป็นโมฆยะ และบริษัททรงไว้ซึ่งสทธิในการบอกล้าง (3) ข้อความจริงที่ทำให้ความเสี่ยงลดลง (Facts that lessen the risk) เพราะเป็นข้อความจริงที่
สัญญาประกันภัยนี้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด” ผู้รับประกันภัยได้ประโยชน์อยู่แล้ว ซงโดยปกติแล้วเป็นเรื่องที่มผลทำให้เบี้ยประกันภัยถูกลงหรือทำให้การคุ้มครอง
ึ
่
ี
้
ดีขึ้น เช่น การติดตั้งสัญญาณกันขโมยในบ้านหรือร้านค้าซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อการถูกคนรายเขาไปโจรกรรม
้
ั
ิ
์
ิ
้
ํ
ลขสทธของสมาคมประกนวนาศภยไทย หามนาไปใช้ในการแสวงหากําไรทางการคา ้
ั
ิ
ิ