Page 70 - InsuranceHandbook
P. 70
บทที่ 5 หลักส�าคัญของสัญญาประกันภัย 51
ี
ื่
่
ิ
ี
่
ั
้
่
ิ
้
ของตนให้ผู้รับประกันภัยเพือใช้ในการพจารณารับประกนภัยว่าจะรับไดหรือไม และถารับจะคิดเบี้ยประกันภัย ได้มีการใช้ประโยชน์อนนอกเหนือจากการอยู่อาศัยแม้เพยงบางสวนในขณะที่เกดความเสยหาย บริษัทจะชดใช้
ิ
ิ
เท่าไร จำนวนเงนค่าสินไหมทดแทน โดยการคำนวณตามส่วนเฉลี่ยของจำนวนเงนเอาประกันภัยที่สามารถคำนวณได้ตาม
ั
ั
ั
ดังนั้น หลักความสุจริตอย่างยิ่ง จงกำหนดใหคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย คือ ผู้เอาประกนภัย และผู้รับประกันภัย พิกดอัตราเบี้ยประกนอัคคีภัย ตามลักษณะของภัยที่สถานที่เอาประกันภัยไดถูกใช้งานจริงในจำนวนเบี้ยประกนภัย
ึ
้
ั
้
จะต้องมีความสุจริตใจต่อกันอย่างยิ่ง (Uberrima Fides หรือ Utmost Good Faith) ต่อกันในการทำ สุทธิ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพม) ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ในขณะเกิดความเสียหายนั้นกับ
ิ่
สัญญาประกันภัยมากกว่าคู่สัญญาในสัญญาประเภทอืน โดยคู่สัญญามีหน้าที่จะตองเปิดเผยข้อความจริงที่เป็น มลค่าแท้จริงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ทั้งนี้ จำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่จะต้องชดใช้ภายใต้เงื่อนไขนี้จะไม่
้
่
ู
สาระสำคัญทั้งหมดซึ่งเกยวข้องกับสัญญา การไม่แถลงข้อความเท็จใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประกันภัย และการรับรองว่า เกินกว่าจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้”
ี่
ั
จะปฏิบัติตามสญญาประกนภัย ถ้าหากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งละเมิดหน้าที่นี้ คู่สัญญาอกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิ์ที่จะบอกล้าง ในกรณของการประกนชีวิต ซึ่งเป็นการทำสัญญาระยะยาว เช่น คุ้มครอง 15 ปี หรือตลอดชีวิต
ั
ี
ี
ั
ั
สัญญานั้นได้ โดยใช้ในสัญญาประกันภัยทุกประเภท ทั้งการประกันวินาศภัยและการประกันชีวิต ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงที่เป็นสาระสำคัญให้ผู้รับประกันภัยทราบในเวลาทำสญญา
้
ั
ี
หลักความสุจริตอย่างยิ่งนี้มที่มาจากการประกนภัยสินค้าที่ขนส่งทางทะเล ซึ่งผู้รับประกนภัยตองเชื่อถือ ประกันชีวิตครั้งแรก หลังจากที่ทำสญญาประกนชีวิตเสร็จแล้ว ก็ไม่อยู่ในช่วงเวลาที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเปิดเผย
ั
ั
ั
ี
ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ผู้ขอเอาประกันภัยแจ้งมา ผู้รับประกันภัยอาจไม่มีโอกาสไปตรวจสินค้าที่จะส่งจริง และ ข้อความจริงใหม่อกต่อไป แม้จะทราบข้อความจริงใหม่ภายหลังก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบ เช่น
สัญญาประกันภัยนี้อาจจะทำขึ้นในประเทศปลายทางที่นำสินค้านั้นเข้า ซึ่งอยู่ห่างไกลจากประเทศต้นทางที่ส่ง ขณะทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทประกันชีวิต A นาย ข. มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่หลังจากที่ทำ
ื
่
์
ั
สินค้าออกค่อนข้างมาก ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างก็ต้องเชื่อถอข้อมูลที่ส่งมาให้กัน ประกนชีวิตไปได้ 1 ปี นาย ข. เริ่มรู้สึกเหนื่อยง่าย เลยไปพบแพทยเพอทำการตรวจและพบว่าเป็นมะเร็งปอดใน
ื
ั
่
ระยะเริ่มต้น กรณีนี้ นาย ข. ในฐานะผู้เอาประกนภัยไมจำเป็นต้องเปิดเผยข้อความจริงใหม่นี้ให้บริษัทประกันชีวิต A
ิ่
2.1 กฎหมายที่รองรับหลักความสจริตอย่างยง ทราบแต่อย่างใด แต่หลังจากนี้ หาก นาย ข. ต้องการจะทำประกันชีวิตกับบริษัทประกันชีวิต A เพิ่มอีก 1 ฉบับ และ
ุ
ประมวลกฎหมายแพงและพาณชย มาตรา 865 ได้บัญญัติไว้ว่า “ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ทำประกันชีวิตกับบริษัทประกันชีวิต B 1 ฉบับด้วย นาย ข. มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงนี้ให้แต่ละบริษัททราบ
่
์
ิ
ั
ั
ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกนชีวิต บคคลอนการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี เพราะถือว่าเป็นการทำสัญญาประกันชีวิตใหม่ทั้ง 2 ฉบับ
ุ
รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้ (2) ไม่แถลงเท็จในข้อความจริงที่เป็นสาระสำคญ เช่น นาย ป. ขอเอาประกันภัยอบัติเหตุส่วนบคคล ซึ่งใน
ุ
ุ
ั
บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ ใบคำขอเอาประกันภัยถามว่า “เคยถูกปฏิเสธการรับประกันภัยหรือไม่” แต่ นาย ป. กรอกว่า “ไม่เคย” ทั้ง ๆ ที่รู้ตัว
ั
ั
ู
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รบประกนภัยทราบมลอันจะบอกล้างได้ก็ดี ว่าตนเคยถูกปฏิเสธการรับประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัทอื่นมาก่อน
หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป” ถ้าผู้รับประกันภัยมาทราบภายหลังจากที่ได้ตกลงรับประกันภัยไปแล้ว กฎหมายก็ยังอนุญาตให้
จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 นี้ เราจะเห็นได้ว่า ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ ผู้รับประกันภัยสามารถบอกล้างสัญญาได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ กล่าวคือ จะต้องรีบบอกล้างภายใน 1 เดือน
(1) ต้องเปิดเผยข้อความจริงที่เป็นสาระสำคัญที่ตนเองรู้ขณะเข้าทำสัญญาประกันภัยครั้งแรกให้แก่ นับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบข้อมูลแน่นอนว่า ผู้เอาประกันภัยไม่แถลงข้อความจริง โดยมีระยะเวลาสูงสุด
ผู้รับประกันภัยทราบ ซึ่งถ้าผู้เอาประกันภัยไม่เปิดเผยข้อความจริงดังกล่าว จะทำให้ผู้รับประกันภัยเสียเปรียบมาก ที่จะบอกล้างได้ภายใน 5 ปีนับแต่วันที่เริ่มต้นทำสัญญาประกันภัยนั้น ซงผลของการบอกล้างจะทำให้
ึ
่
ั
เช่น นาย ก. ต้องการทำประกันอคคีภัยบ้านอยู่อาศัย โดย นาย ก. ยังใช้บ้านหลังนั้นเป็นโรงงานทำและเก็บประทัด สัญญาประกันภัยนั้นเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น
ั
ุ
ั
ั
ดอกไม้ไฟและพลไว้ในบ้านด้วย นาย ก. จะต้องเปิดเผยข้อความจริงนี้ให้ผู้รับประกนภัยทราบว่าจะรบประกนภัยได ้ ขณะเดยวกนประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 866 บัญญัติว่า “ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ข้อความ
่
ี
ั
่
หรือไม่ ถ้าได้จะรับประกันภัยแบบไหน และจะคิดเบี้ยประกันภัยเท่าไร จริงดั่งกลาวใน มาตรา 865 นั้นก็ดี หรือรู้ว่าข้อแถลงความเป็นความเท็จก็ดี หรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากใช้
้
ั
ั
์
นอกจากนน ในการต่ออายุกรมธรรมประกนวินาศภัยซึ่งปกติมีระยะเวลาเอาประกนภัย 1 ปี จะถือว่าเป็น ความระมัดระวังดั่งจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชนก็ดี ท่านให้ฟังว่าสัญญานั้นเป็นอันสมบูรณ์”
ั
้
ิ่
ิ
่
์
การทำสัญญาประกันภัยฉบับใหม่ หากผู้เอาประกันภัยมีข้อความจริงใหม่ที่เพมขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงไปจากขอความ กรณีตามประมวลกฎหมายแพงและพาณชย มาตรา 866 เป็นเรื่องที่กฎหมายปิดปากผู้รับประกันภัย
จริงเดิมที่เคยเปิดเผยแก่ผู้รับประกนภัยไว้ เช่น ปีแรกทเอาประกนภัย นาย ข. ใช้บ้านที่เอาประกนภัยไว้นี้เพออยู่ เพราะผู้รับประกันภัยได้รู้ข้อความจริงที่ผู้เอาประกันภัยปิดบัง หรือรู้ว่าผู้เอาประกันภัยแถลงข้อความเทจ แต่
่
ั
ื่
ั
็
ี
ั
อาศัยเท่านั้น แต่ในช่วงที่จะต่ออายุการประกันภัย นาย ข. มีแผนจะใช้บ้านหลังนี้เป็นโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ด้วย ผู้รับประกันภัยเจตนาเข้าทำสัญญาประกนภัยโดยการตกลงใจเอง โดยมิได้เกิดจากมูลเหตุชักจูงใจที่ผู้เอาประกันภัย
ั
่
ื
นาย ข. ในฐานะผู้เอาประกันภัยก็มีหน้าที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงใหม่นี้ให้ผู้รับประกันภัยทราบเพ่อพิจารณาว่า ปิดบังข้อความจริงแต่อย่างใด ผลของสัญญาประกันภัยฉบับนั้นจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ และไมตกเป็นโมฆียะแต่
ู
จะรับประกันภัยต่อไปได้หรือไม่ หรือจะต้องเปลี่ยนแปลงแบบ และเงื่อนไขการรับประกันภัยตลอดจน ประการใด หากผู้รับประกันภัยได้ใช้ความระมดระวังอย่างวิญญชนแบบบุคคลทั่ว ๆ ไป ก็ควรจะรู้ข้อความจริงที่ไม่
ั
ั
ึ้
คิดเบี้ยประกนภัยใหม่ตามสภาพการเสี่ยงภัยที่เพมขนอย่างไร เปิดเผยหรือข้อแถลงความเท็จนั้น แต่ถ้าผู้รับประกันภัยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชน จึงทำให้ไม่ทราบ
ิ่
ั
อย่างไรก็ตาม หากผู้เอาประกันภัยมีการเปลี่ยนแปลงสภาพการเสี่ยงภัยที่เพมเติมไปจากเดิมในระหว่าง ข้อความจริงนั้น ก็เป็นความผิดของผู้รับประกนภัยเอง จึงไม่สามารถบอกล้างสัญญาได้ หรือพดในอกลักษณะหนึ่ง
ี
ิ่
ู
ั
ั
ั
ระยะเวลาเอาประกนภัย เช่น กรณีของ นาย ข. ได้เอาประกนอคคีภัยบ้านอยู่อาศัยซึ่งตอนที่ทำสัญญาประกันภัยนั้น คือ รู้ว่าเขาหลอก แล้วยังยอมรับประกันภัย หรือน่าจะรู้ว่าเขาหลอก หากระมดระวังอกสักนิดหนึ่ง แต่
ี
ั
นาย ข. ใช้บ้านที่เอาประกันภัยนี้เพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น แต่ในระหว่างระยะเวลาเอาประกนภัย นาย ข. ต้องการใช้บ้าน ผู้รับประกันภัยยังยอมเข้าทำสัญญาประกันภัยด้วย ดังนั้น ผู้รับประกันภัยจะมาอางเหตุนี้เพอบอกล้างสัญญา
ื่
้
ั
ี่
หลังนี้เป็นโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ด้วย นาย ข. ควรจะแจ้งให้ผู้รับประกันภัยทราบเพอปรับเงื่อนไข ประกันภัยนั้นในภายหลังไม่ได้ทั้งทผิดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 ไปแล้ว
ื่
ั
การรับประกันภัยและอตราเบ้ยประกันภัยใหม่ให้ถูกต้องกับการใช้บ้านหลังนี้เป็นโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ด้วย
ี
มิฉะนั้น หากเกิดวินาศภัยขึ้น ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไข 6.5 กรณีที่ใช้สถานที่
ั
ิ่
ั
เอาประกนภัยเพมเติมจากการอยู่อาศัย ซึ่งระบุว่า “หากปรากฏว่าสถานที่เอาประกันภัยซึ่งยังคงใช้เป็นที่อยู่อาศยนั้น
ิ
ลขสทธของสมาคมประกนวนาศภยไทย หามนาไปใช้ในการแสวงหากําไรทางการคา ้
ั
ิ
ํ
้
์
ิ
ั
ิ