Page 47 - InsuranceHandbook
P. 47
28 คู่มือประกันวินาศภัยไทย
Thai General Insurance Handbook
การปฏิวัติอตสาหกรรมในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ทำให้เกิดความต้องการในดานการรับประกันภัยอบัติเหตุ
ุ
ุ
้
และทำให้มีการก่อตั้งบริษัทประกันภัยใหม่ ๆ เพมขึ้น เครื่องจักรที่นำมาติดตั้งกับโรงงานใหม่ ๆ และหัวรถจักร
ิ่
ั
ิ่
สมัยใหม่ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน และชีวิตของบุคคลเพมขึ้นอย่างมาก การประกนภัยนอกจากจะช่วย
้
ุ
คุ้มครองความเสียหายดานการเงินที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้มีการประดิษฐ์อปกรณ์
ด้านความปลอดภัย และมส่วนช่วยในการกำหนดกฎระเบียบในการรักษาความปลอดภัยด้านต่าง ๆ ด้วย
ี
้
็
ั
ก่อนปี ค.ศ. 1880 เมื่อลูกจ้างได้รับบาดเจบในขณะปฏิบัติงาน นายจางมกมีข้อต่อสู้ทางกฎหมายทำให้พ้น
ผิดไม่ต้องรับผิดชอบต่อลูกจ้าง แต่เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติความรับผิดของนายจ้างในปี ค.ศ. 1880
็
(Employer’s Liability Act 1880) บรรดาข้อต่อสู้ทางกฎหมายเหล่านั้นกถูกลบล้างไปโดยกฎหมายฉบับนี้ ส่งผลให้
้
เกิดความตองการเอาประกันภัย “ความรับผิดของนายจ้าง” ขึ้น และในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ลูกจ้างก็ยิ่งได้รับ
การคุ้มครองเพิ่มขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินทดแทนแรงงาน (Workers’ Compensation Act)
8. ลักษณะสำคัญของความเสี่ยงที่ปกติสามารถจะเอาประกันภัยได้
ี
ผู้รับประกันภัยโดยทั่วไปจะรับประกันภัยความเสี่ยงแท้จริง (Pure Risk) ได้เพยงบางประเภทเท่านั้น
จึงต้องมีข้อกำหนดเกี่ยวกับลักษณะสำคัญของความเสี่ยงที่ปกติสามารถจะเอาประกันภัยได้ ไว้ดังนี้
1. ต้องมีหน่วยของความเสี่ยงที่คล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก (There must be a large number of
homogeneous exposure units)
วัตถุประสงค์ของข้อกำหนดนี้ก็เพอช่วยให้ผู้รับประกันภัยสามารถพยากรณ์ความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ื่
ั
โดยอาศัยกฎว่าด้วยจำนวนมาก (Law of Large Numbers) ถ้าหากมีหน่วยความเสี่ยงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกนเป็น
็
่
ึ้
จำนวนมาก และอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ผู้รับประกันภัยกสามารถคำนวณความเสียหายที่จะเกิดขนได้คอนข้างแม่นยำทั้ง
ุ
่
ี
ในแง่ของความถี่ และความรนแรงโดยเฉลยของความสูญเสีย (Average Frequency and Average Severity of
Loss)
จากข้อกำหนดนี้ จะเห็นได้ว่าผู้รับประกันภัยต้องจัดสิ่งที่จะรับประกันภัยไว้เป็นกลุ่ม ๆ เช่น การรับประกัน
ึ
่
อัคคีภัยบ้านอยู่อาศัยซงแบงออกเป็น บ้านไม้ทั้งหมด บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ และบ้านที่สร้างด้วยคอนกรีตทั้งหมด
่
ุ
เป็นต้น หรือในการประกันภัยอบัติเหตุส่วนบุคคลที่จัดแบ่งกลุ่มของผู้เอาประกันภัยตามลักษณะอาชีพ และหน้าที่
การงาน ซงมีความเสี่ยงต่างกัน เช่น กลุ่มอาชีพที่ทำงานอยู่ในสำนักงานซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ กลุ่มอาชีพที่ทำงาน
ึ
่
เกี่ยวกับเครื่องจักรกลต่าง ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เป็นต้น
ุ
ั
ิ
2. ความเสียหายที่เกิดขึ้น ต้องเป็นอบัติเหตุ และไม่ได้เกดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกนภัย
(The loss must be accidental and unintentional from the viewpoint of the Insured)
โดยทั่วไป ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุซึ่งไม่อาจคาดคะเน หรือทราบมาก่อน
ี
็
ได้ และต้องไม่ใช่ความเสียหายที่เกดจากการกระทำโดยเจตนาของผเอาประกันภัย หรือมส่วนรู้เหนในการทำลาย
้
ิ
ู
ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่เอาประกันภัยไว้
ั
ถ้าหากผู้รับประกนภัยยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกนภัยแล้ว อาจจะ
ั
ั
ั
ิ
ก่อให้เกิดภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) เพมขึ้น โดยผู้เอาประกนภัยจะทำลายทรพย์สน หรือสิ่งที่
ิ่
เอาประกันภัยนั้น เพือหวังเอาเงินค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัย เช่น โกดังของ นาย ก. ซึ่งเก็บสินค้า
่
็
เฟอร์นิเจอร์พลาสติกเปนจำนวนมากตั้งอยู่ติดกับโกดังเก็บเครื่องใช้ไฟฟ้าของ นาย ข. ต่างฝ่ายต่าง
เอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันภัยคนละบริษัท ต่อมากิจการค้าของ นาย ข. ประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก
เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในโกดังนั้นล้าสมัย และจำหน่ายไม่ค่อยได้ นาย ข. จึงตัดสินใจจ้างคนมา
ิ
ั
ิ
วางเพลงเผาโกดง และ สต๊อกเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น เพอหวังเอาเงินคาสนไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย
่
ื
่
ปรากฏว่าไฟได้ไหม้โกดัง และ สต๊อกเครื่องใช้ไฟฟ้าของ นาย ข. จนหมดสิ้น และไฟนั้นยังลามไปยังโกดังของ
นาย ก. จนเสียหายอย่างหนักเช่นเดียวกัน โดยที่ นาย ก. ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำที่ไม่สุจริตของ นาย ข. มา
ิ
์
ิ
ลขสทธของสมาคมประกนวนาศภยไทย หามนาไปใช้ในการแสวงหากําไรทางการคา ้
ิ
้
ํ
ั
ั
ิ